เทศน์เช้า

เซลล์บุญ

๒๑ มี.ค. ๒๕๔๑

 

เซลล์บุญ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๔๑
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

คนทำแม่ไว้มันต้องมีกรรมมากใช่ไหม? อันนี้กรรม เคยไปชดใช้กรรมแล้ว กรรมใหญ่ๆ ชดใช้ไปแล้วไง ตกนรกหมกไหม้อยู่ แล้วก็ทำความดีขึ้นมาจนมาชาติหนึ่งปรารถนาเป็นพระอัครสาวกไง แล้วปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย กับพระสารีบุตร แล้วพอได้เป็น ถึงสุดท้ายนะเขาจะมาฆ่านี่เหาะหนี เหาะหนีไง สุดท้ายแล้วกรรมของเราเอง เห็นไหม กำหนดให้เขาฆ่า ปล่อยให้เขาตี ให้เขาตีจนตาย ตายแล้วนี่ตายส่วนตาย ตายหมายถึงสมมุติไง นี่สมมุติ

ฟังนะ สมมุติกับความจริงต่างกัน สมมุติกับวิมุตติ สมมุติก็บัญญัติ บัญญัติก็คือสมมุติ พอโดนฆ่านี่ร่างกายแหลกแล้ว เห็นไหม นี่สมมุติ คนตายแล้วก็ต้องแล้วกันสิ ทำไมพระโมคคัลลานะใช้ฤทธิ์สมานร่างกายขึ้นมาแล้วเหาะไปหาพระพุทธเจ้า ไปลาพระพุทธเจ้า พอลาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอก “เออ ให้สมควรแก่เวลาของเธอเถิด” แล้วก็เหาะกลับมาที่เก่า คลายฤทธิ์ออก เห็นไหม จากที่สมานร่างกายขึ้นมาเป็นพระโมคคัลลานะ ก็คลายออกกลายเป็นเหมือนเดิมคือแหลกอย่างเก่า

นั่นน่ะวิมุตติ ใจที่มันสำคัญกว่าสามารถสมานร่างกายนั้นมาได้ แล้วก็ปล่อยคลายไว้อย่างเก่า มันถึงว่าไอ้นั่นสมมุติไง ไอ้การเกิดการตายมันเป็นสมมุติไง แต่ไอ้กรรมที่มันให้มา มันก็ได้เฉพาะร่างกาย เห็นไหม ตีร่างกายนั้นแหลกเลย แต่หัวใจที่วิมุตติแล้วมันไม่ถึงไง มันกระเทือนไม่ได้ ถึงได้แบบว่ายอมไง ยอมให้ถึงร่างกาย แต่ไม่ยอมให้ถึงหัวใจ เพราะหัวใจมันเข้าไม่ถึงโดยธรรมชาติ เพราะจิตนั้นเป็นพระอรหันต์ อัครสาวกเบื้องซ้าย เข้าไม่ถึงเด็ดขาดเลย แต่คนไม่เข้าใจตรงนี้ไง คนรอบข้างอาจารย์ต้องดีไปหมด คนรอบข้างอาจารย์ต้องดีไปหมด

ดี! ดี ถ้าพูดถึงว่ามันยอมรับว่าดี แต่ถ้าคนไม่ยอมรับนะ ดูสิอย่างเซลล์ เซลล์ขายบุญไง เซลล์ขายความศรัทธาไง โลกนี้มีแต่หลอกลวงทั้งนั้น มีแต่ความหลอกลวง เอาบุญมาขาย เอาศรัทธามาขาย เอาโฆษณากันไปไง โฆษณาเพื่อจะขายบุญหรือ? แต่ถ้าโฆษณาขาย

โลกนี้นะ ฟังนะ โลกนี้เกิดมามีแต่ของไม่จริง ความไม่จริงของมัน พอความไม่จริงนี้มันไม่เป็นตามความเป็นจริง เห็นไหม คือว่าจริงตามสมมุติ ไม่จริงตามความเป็นจริง พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในนี้แล้ว ถึงเข้าใจว่าโลกจะอยู่กันได้ต้องมีศีล ๕ ไง ไม่ให้มุสา ปาณาฯ อันแรกเลยไม่ให้เบียดเบียนกัน ลักทรัพย์ กาเมฯ มุสาฯ แล้วก็มาสุราฯ นี่ศีล ๕

ไม่ให้มุสา ไอ้นี่มุสามี ๒ อย่าง มุสาด้วยตัวเองมุสาไง มุสาด้วยตัวเองๆ พูดปด กับมุสาด้วยตัวเองไม่รู้ไง แบบฟังเขามา คนนู้นเขาสร้างภาพ เขาทำมา เราจำมา แล้วก็มาพูดต่อ เห็นไหม มุสาด้วยตัวเองไม่รู้เป็นเหยื่อเขา อันนี้เป็นเหยื่อเขา แต่ถ้ามุสาด้วยตัวเองรู้ รู้ทั้งรู้ แล้วมุสาโกหกด้วย เพื่อประโยชน์ไง มันมุสาก็ยังมี ๒ อีก มุสาเพราะตัวเองไม่รู้ เห็นภาพความไม่รู้ไป มันถึงวกกลับมาที่ว่าขายบุญไง เซลล์ขายบุญ เซลล์เอาบุญมาขาย

บุญไม่ต้องขาย ถ้าขายบุญ เพราะว่าโลกกับธรรมไม่เหมือนกัน ทุกคนว่าโลกกับธรรมเหมือนกัน โลกมีการประชาสัมพันธ์ มันทำได้ มันสร้างฉากได้ พอสร้างฉากได้มันก็เอาเหยื่อได้ มันไม่เป็นตามความเป็นจริง นี่เซลล์ขายบุญ ไอ้พวกนั้นก็ว่าเป็นบุญๆ โอ๋ย เป็นบุญ เป็นบุญเพราะว่าเขาจัดฉากมา แต่ถ้าบุญแท้ บุญให้เป็นตามความเป็นจริง เรายอมรับตรงนี้ไง ตรงนี้ตามความเป็นจริง ศรัทธาให้มันเกิดขึ้น ปฏิคาหกให้หัวใจดวงนั้น จะมากจะน้อยไม่สำคัญ

ข้าวทัพพีเดียวนะ เราเจอบ่อย เราไปบิณฑบาตบ้านนอกๆ บางคนก็อายไง เด็กๆ นี่ที่บ้านไม่กล้าใส่ ไม่มีอะไรมีแต่ข้าว เราบอกโอ้โฮ ข้าวทัพพีนี้มีคุณค่ามากเลย เพราะหัวใจดวงนั้นมันอยากใส่ หัวใจดวงนั้น ดวงที่ว่าเจตนาตัวนั้น ไอ้ข้าวนี้ไร้สาระ บิณฑบาตข้างนอก นี่เขาใส่ข้าวเขาอาย เห็นไหม เขาบอกเขาใส่ข้าวอย่างเดียว เราบอกเลยไม่ได้บิณฑบาตเอาของ เอาคน ผู้ชายด้วย พูดกับเขาเลยนะ

“บิณฑบาตเอาคน”

ทีนี้เขาจะฟังหรือไม่ฟังไม่รู้ เพราะว่าเราพูดแบบขึงขัง เขาใส่แล้วว่า เอ๊ะ เขาใส่ข้าวทัพพีเดียว ไม่ใช่ เราบอกไม่เอาของ แม้แต่ไม่ต้องมีข้าวเลยนะ โยมออกมานั่งนะ เห็นพระมายกมือไหว้ แหม เพราะอะไร? เพราะการยกมือไหว้นั้นมันออกมาจากใจนะ ความเคารพไง เอาหัวใจคนต่างหาก เราบอกว่าไม่ได้บิณฑบาตเอาของ บิณฑบาตเอาคนนั้นน่ะ บิณฑบาตเป็นวัตรไง ถ้าบิณฑบาตเอาของมันหวังไง ว่าออกไปนี่ขาดทุน ออกไปได้มาไม่ถึงครึ่งบาตร บางทีเราออกไป กลับมาบาตรเปล่า

อ้าว ถ้าปฏิบัติดีนะ ออกไปกลับมาบาตรไม่มีนี่หลายที ธุดงค์ไปเขาไม่รู้ เพราะใส่แต่เช้า ไปสายไง เรานี่แหละบิณฑบาตเข้ามาบาตรเปล่าๆ หลายหน ไม่ได้กับข้าวมาหรอก ไม่ได้แม้แต่ข้าว เพราะเขาไม่รู้เวลาเขา เราไม่สนใจ อันนั้นไม่ได้สนใจ ไม่ได้เอาของ เอาคน บิณฑบาตเอาน้ำใจคนด้วยนะ ไม่ใช่เอาคนอย่างเดียว เอาน้ำใจที่เกิดจากเจตนาอันนั้น ไม่ใช่ว่าเอาวัตถุไง

ทีนี้ถ้าหวังวัตถุ เห็นไหม โลกหวังวัตถุ ต้องการวัตถุ จะทำอย่างไรให้คนสละวัตถุอันนั้นออกมา ก็เอาบุญมาขายไง บุญเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นแล้วเหมือนกับทำบุญ นาย ก. ทำบุญ ๕๐ บาท แล้วได้บุญเท่าไหร่? เพราะชื่อ นาย ก. ไปแล้ว เขาทำบุญไป ๕๐ บาทจากเนื้อๆ เลย อันนี้ได้บุญเต็มที่เลย ปฏิคาหก เพราะถึงเวลาเราตกทุกข์ได้ยาก หรือเวลาจะตายไปเราไม่เคยทำบุญเลย เราคิดถึง ๕๐ บาท เห็นไหม เราคิดถึงเราเคยทำ ๕๐ บาทนี้สิ เราคิดถึงสิ นั่นแหละมันเป็นทิพย์ มันเป็นบุญตรงนั้นไง แล้วมันจะให้ผลตรงนั้นไง แต่ถ้าไปนี่เราไม่คิดถึงตรงนั้นเลย เราคิดว่าทำบุญ ๕๐ บาท แต่ ๕๐ บาทนี้ทำบุญเพราะเขาบอกให้ทำนะ มันดีอย่างนั้นๆ เห็นไหม มันเคลื่อนออกมาจากว่าเราเจตนา ๕๐ บาทนั้นไง อ๋อ เพราะนั่นเขาว่าอย่างนั้นนะ มันจะได้บุญอย่างนั้น

ก็เหมือนเราไปดูหนัง ดูละคร เราไปดูสิ่งที่เขาปรุงแต่งขึ้นมา เราไปดูสิ่งที่ว่าเขาเอาดารามาเล่น เขากำกับ ฉายขึ้นมา แล้วเราไปดูภาพนั้น เห็นไหม กับที่เราเข้าใจทุกข์ตามความเป็นจริง เราก็เป็นดาราแสดงคนหนึ่ง เรากระทบกระเทือนถึงใจเราเหมือนกัน ใจเราเป็นทุกข์อย่างนั้นเหมือนกัน เราเข้าใจทุกข์ตามความเป็นจริง นี่อันนี้เป็นธรรม เป็นธรรมหมายถึงว่ากระแสการกระทบเราก็โดนอยู่แล้ว แต่เราไปดูไอ้หนังแห้งไง ไปดูชีวิตโลกอีกชั้นหนึ่งไง ความจอมปลอมไง

นี่กระแสโลกไง เซลล์ไงเอามาขายกัน เอาเซลล์มาขาย เอามาป้อนกัน แล้วเราต้องการเป็นเซลล์หรือ? เซลล์บุญไม่ต้องการ ต้องการตามความเป็นจริง เขาโฆษณากัน ทำบุญอย่างนั้นได้อย่างนั้น ทำบุญอย่างนั้นได้อย่างนั้น ไอ้อย่างนี้ปลูกศรัทธา ความที่คนไม่เชื่อถือเลย เป็นไปได้ มันได้อย่างนั้นจริงๆ ความเป็นไปได้ไง แต่คนที่เชื่อถือ คนที่เป็นไปแล้วตามความเป็นจริง เจตนาตรงนั้นสำคัญที่สุด เจตนาสำคัญที่สุด การเปิดสำคัญที่สุด เจตนาทำความดี อันนั้นได้ดีเต็มที่เลย ให้มันเป็นไปตามความเป็นจริง แล้วมันเข้าถึงเนื้อหาสาระไง

ศรัทธา ศรัทธานี้คลอนแคลนได้ ใครจูงได้ ใครชักได้ ศรัทธานี่ คนนี้ชักไป คนนี้ชักมา ตามเขาไปหมดเลยเพราะไม่รู้ อจลศรัทธาสิ ศรัทธาที่คงที่ ศรัทธาที่เข้าถึงเนื้อบุญ ศรัทธาอันนี้เกิดขึ้นกับพระโสดาบันขึ้นไป พระโสดาบันหมายถึงว่าสีลัพพตปรามาส ไม่มีความลังเลสงสัยเลย มั่นคงไง นี่อจลศรัทธา แต่ถ้าต่ำกว่านั้นยังศรัทธาโดนจูงอยู่ ศรัทธาให้เขาจูงเราอยู่ แต่มันก็ต้องจูง ไม่อย่างนั้นไม่จูงมันจะไปหาครูบาอาจารย์ทำไม? บอกว่าติดครูบาอาจารย์ ติดสิ อันไหนเชื่อมั่น อันไหนลงใจต้องติดสิ

อาจารย์มหาบัวพูด เห็นไหม ถ้าเราเกิดปัญหาขึ้นมา เราใคร่ครวญของเราเอง อย่างน้อย ๕ วัน ๗ วัน ๑๐ วัน เดือนหนึ่ง บางทีเป็นปีเอาไม่ออก ความสงสัยไง พอมันเกิดขึ้นมานี่ความสงสัย ก็เหมือนกับผงเข้าตา โอ๋ย เขี่ยอยู่นั่นแหละ เขี่ยอยู่นั่นแหละ เขี่ยออก แต่เลือดออกตาแตกไง แต่ถ้าผงเข้าตาวิ่งไปหาอาจารย์เลย เขี่ยพั่บ

“อาจารย์ครับเป็นอย่างนั้นครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพิจารณาอย่างนี้สิ”

เอ๊อะ หลุด เห็นไหม นี่ติดอาจารย์ ไม่ติดอาจารย์ มันติดอาจารย์ตรงนี้ไง ตรงที่อาจารย์เป็นคนเช็ดลูกตาให้เรา พอเรามีผงเข้าตา วิ่งเข้าไปหาก็เช็ด ถ้าเราไม่มีอาจารย์นะ ผงเข้าตา เจ็บ เจ็บนะผงเข้าตานี่เจ็บ แล้วทำอย่างไรล่ะ? ลืมตาในน้ำเอย มุดดิน ขึ้นฟ้า เพื่อจะเอาผงออกจากตา แล้วบอกว่าห้ามติดครูบาอาจารย์

มึงบ้าหรือ? มึงไม่เคยภาวนานี่ ลองภาวนาทำไมจะไม่ติดครูบาอาจารย์ แต่โลกเขาว่าไม่ให้ติดครูบาอาจารย์ เห็นไหม ไม่ให้อยาก ไม่ให้ติด แล้วก็บอกไม่ให้อยาก ไม่ให้ติด แต่เงินเอานะ ไม่ให้อยาก ไม่ให้ติด ตังค์เอามา ถวายท่านเยอะๆ ท่านจะเป็นประโยชน์

ติดครูบาอาจารย์เขาไม่ได้ติดตรงวัตถุ ไม่ติดตรงเงินตรงทองนั้น เขาติดตรงธรรมอันนั้น ติดตรงที่ท่านมีธรรมเช็ดลูกตาเรานั้น เขาไม่ได้ติดว่า โอ๋ย อาจารย์จะมีเงินมาก อาจารย์จะมีลูกศิษย์มาก อาจารย์จะมีศักยภาพมาก ศักยภาพโดยธรรมไง ตามความเป็นจริงของธรรมไง ถึงไม่ต้องการเซลล์ไง เซลล์ไม่ต้องการ เซลล์เที่ยวโฆษณา เที่ยวกว้าน ไม่ต้องการ ต้องการตามความเป็นจริง ต้องการตามความเป็นธรรม ธรรมที่เป็นธรรมแท้ๆ ไง ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

ฉะนั้น เราถึงทำของเรามา เราทำตามความจริงของเรา โลกไง ความเป็นสมมุติ ฉะนั้น มันถึงว่าเวลาเกิดขึ้นมา อันนี้เป็นวัตถุ ร่างกายนี้เป็นวัตถุ เห็นไหม รถคว่ำ รถคว่ำไปแล้ว แล้วอย่างนี้คนจะคิดกันมาก แล้วดูอย่างที่อาจารย์จวน อาจารย์สิงห์ทอง แล้วอาจารย์วัน ตอนเครื่องบินตก พระอรหันต์ไม่รู้หรือ? พระอรหันต์ไม่รู้หรือ? ทำไมเป็นอย่างนั้น พระอรหันต์ไม่รู้หรือ? อาจารย์มหาบัวเทศน์เลย เทศน์ในงานศพของอาจารย์สิงห์ทองด้วย

“มันเป็นสมมุติไง ลิงนี่ ใจของพระอรหันต์ไม่ใช่ใจของลิง เป็นใจที่มั่นคงแล้ว ใจของลิงนี่กระโดดเกาะไง ตัวเมียจะกระโดดเกาะ เกาะกิ่ง...” (เทปขัดข้อง)

ก็นึกว่าไม้มันสดตลอด ก็พึ่งไง หวังจะพึ่งคนอื่น นี่ใจที่มันพึ่งตัวเองไม่ได้ ใจที่เป็นลิง กระโดดไปกระโดดมา กระโดดไปเกาะเอาไม้แห้งหล่นตุ๊บ แต่ใจพระอรหันต์ไม่ใช่อย่างนั้น อาจารย์หลายองค์พูดแล้วไม่อยากเอ่ยชื่อ นั่งบนเครื่องบินเลย บางคนมันเบื่อ บอกว่า

“เครื่องบินตก”

“ตกซะๆ” ว่าอย่างนั้นนะ

อาจารย์พูดให้เราฟังเอง ท่านนั่งเครื่องบินมา ตกๆๆ บอกให้ตกเลย ถ้าเป็นเรา ใครนั่งเครื่องบินอยากให้เครื่องบินตก ใครอยากตาย แต่มันจะตายด้วยตัวเองไม่ได้ไง เพราะกรรมมันมีอยู่ มันต้องเป็นไปตามความเป็นจริง คนสร้างคุณงามความดีมามันต้องเกื้อหนุนไป รถถ้ามีน้ำมันอยู่ น้ำมันต้องขับเคลื่อนรถนั้นแล่นไป จนกว่ารถนั้นน้ำมันจะหมด เห็นไหม พระพุทธเจ้าถึงบอกพระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะ

“ให้สมควรแก่เวลาของเธอเถิด”

ให้สมควรตามความเป็นธรรม ตามความสมควรแก่เธอเถิด คือน้ำมันในถังน้ำมันหมดเมื่อไหร่รถก็จอดตรงนั้น จนกว่าน้ำมันมันจะหมดไปตามความเป็นจริง ไม่ใช่น้ำมันไม่หมดดับเครื่อง เห็นไหม นี่พวกอุบัติเหตุ น้ำมันไม่หมดดับเครื่อง ฉะนั้น มันก็หมดเฉพาะชาตินี้เท่านั้นนะ มันยังมีกรรมต่อเนื่องกันไป

แต่นี่ไม่อย่างนั้น หัวใจนี้ไม่ใช่ลิง หัวใจที่มั่นคงจะมีอะไรตื่นเต้น ฟ้าจะถล่ม ฟ้าจะทลาย สงครามจะเกิด จิตนี้ไม่มีเผลอไง ฉะนั้น ความตายถึงไม่มีความหมายไง เครื่องบินจะตกอะไรนี่มันเป็นกรรม แต่หัวใจนั้นไม่ตกใจ ไม่คลอนแคลน ไม่หวั่นไหว ไม่อาศัยภายนอก มันอาศัยภายใน อาศัยธรรมของตัวเองไง เวลามีอะไรเกิดขึ้นมันจะฟุ่บ ไม่มีออก ไม่ส่งออก มีแต่เอาเข้าของตัวเอง

ฉะนั้น ถึงว่าท่านไม่ตกใจ ท่านไม่มีกรรม ท่านไม่เสียหาย ถึงจะเครื่องบินตก ความตายของครูบาอาจารย์ก็ไม่เสียหาย เพราะเผามาแล้วกระดูกเป็นพระธาตุไง แต่โลกมันบอกว่า โอ๋ย ทำคุณงามความดีมาขนาดนั้น เป็นถึงพระอรหันต์นะ ทำไมต้องมาเครื่องบินตกตาย? ทำไมไม่ตายแบบสวยๆ งามๆ เอาดอกกุหลาบถือไปด้วยไง เอากุหลาบมาวางไว้เต็ม แล้วก็ตายแบบนิ่มๆ ไง ถือว่าเป็นผู้ที่มีบุญ เขาว่าอย่างนั้นนะ ตายเป็นคนมีบุญไง

ตายแบบกรรม ตายแบบการสั่งสมมา แต่การกระทำที่เป็นธรรมขึ้นมาในหัวใจ อันนั้นต่างหากมันสำคัญตรงนั้นนะ พระพุทธเจ้าถึงได้บอกพระทั้งหมดที่เถียงกันไง อาสวักขยญาณ ญาณที่ประเสริฐที่สุด อาสวักขยฯไง การสิ้นกิเลส การทำลายกิเลสนั้นประเสริฐที่สุด ไม่มีญาณ ไม่มีวิชาใดประเสริฐเท่ากับวิชาการฆ่ากิเลสนี้ พอกิเลสสิ้นสุด ตั้งแต่วันที่กิเลสสิ้นแล้วมันไม่มีอะไรตาย ความเป็นไปมันมีไง

นี่เรื่องอย่างนี้คุยกับพวกลูกศิษย์ คุยกับพวกนั้นมา เถียงมาประจำนะ ว่าอยู่ใกล้อาจารย์ อาจารย์ต้องรู้อย่างนั้นๆ แล้วเวลามันเป็นไปมันเป็นอย่างนี้ เขาไปถาม เรานั่งอยู่ที่นั่นด้วย บอกว่า

“ลูกศิษย์ของท่านองค์นั้นทำอย่างนั้นๆ ได้ ทำอย่างนี้ๆ ได้ จริงไหมครับท่านอาจารย์?”

“ใคร?”

“องค์นั้นๆๆ”

“แม้แต่หลวงตาบัว” ท่านพูด เรานั่งอยู่นั่น “เดินออกไปบิณฑบาต ฝนมันยังตกใส่หัวเลย ยังเปียกฝนอยู่”

เขาว่าพระกำหนดไม่ให้ฝนตกใส่ได้ ท่านบอกว่าท่านเอง ท่านเป็นอาจารย์ด้วยนะ อาจารย์เองมันยังเปียกเลย แล้วลูกศิษย์ทำไมมันทำอย่างนั้นได้ ท่านว่าของท่านอย่างนั้น เรานั่งฟังอยู่ มีคนมาถามบ่อยตอนอยู่กับท่าน คนนั้นมาถามเรื่องนี้ คนนี้มาถามเรื่องนั้น

เพราะว่าพวกเราเอาความเห็นของเราไปจับไง เอาความเห็นว่าต้องเป็นอย่างนั้น เราเข้าใจว่าพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบขนาดนี้ ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น เห็นไหม ถึงบอกว่าเป็นโลกไง ถึงเป็นเซลล์ไง ขายบุญไง เอาโฆษณาชวนเชื่อไง เริ่มต้นมันก็ผิด แล้วมันก็โฆษณากันผิดๆ แล้วมันก็วางรูปแบบกันผิด มันถึงไม่จริงทั้งหมดไง ถึงว่าไม่เชื่อ เราเชื่อตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงนะ เอาอะไรมาขายให้มันขายไป เราไม่เป็นเหยื่อมัน ไม่เป็นเหยื่อนะ เราต้องรู้ตามความเป็นจริงของเรา มันมี ๒ ประเด็นที่ว่าเมื่อกี้นี้

ประเด็น ๑. โกหกเพราะโกหกหนึ่ง

ประเด็น ๒. โกหกเพราะไม่รู้ แล้วเราเอาคำพูดเขาไปโกหกต่อหนึ่ง

ไอ้เรื่องนี้เราโดนบ่อย อย่าว่าแต่คนอื่นนะ เพราะคนมาครั้งแรก การสัมผัสกัน การสัมผัสกับโยม โยมมาทุกคนก็ว่าศรัทธาทั้งนั้นแหละ เขาพูดก็ต้องลองกันก่อน เขาบอกเป็นอย่างนั้นๆ อ้าว ฟัง แต่ถ้าจับโกหกได้แล้วก็เลิกกัน ทีนี้ก็เลิกกันๆ ถ้ายังดีอยู่ก็ว่ากันไป ถ้าโกหกก็เลิกกันๆ ถ้าเลิกกันไปแล้วมันก็หมดปัญหาไป แต่ถ้ามันยังเอาตรงนั้นมาย้ำกันบ่อย เพราะสอนเขาไง สอนเขาไม่ควรทำ แล้วทำไมตัวเองทำ

อันนี้ก็เหมือนกัน เพราะอันนี้มันต้องพิสูจน์กันสิ การพิสูจน์ต้องพิสูจน์ด้วยตามความเป็นจริง ไม่เชื่อเขานะ ใครจะเป็นอย่างไรให้เขาเป็นไป เราให้อยู่ในหลักการของเรา อย่าไปเชื่อมัน